เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาวัด เห็นไหม เรามาวัดเพื่อบุญกุศล ทำไมต้องทำบุญกุศลล่ะ? ทำบุญกุศลเพราะเราเป็นปลาเป็น ปลาเป็นมันว่ายทวนน้ำนะ การว่ายทวนน้ำนี่เหนื่อย ปลาตายมันลอยไปตามน้ำ สิ่งที่ลอยไปตามน้ำมันสะดวกสบายของมัน ชีวิตของเรา ถ้าคิดถึงนะ ถ้าเราจะเอาตามสบายใจของเรามันจะเป็นปลาตาย ถ้าปลาตาย เราไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นปลาตาย

ครูบาอาจารย์ท่านว่า พระที่ไม่มีสติ พระที่ใช้ชีวิตโดยปกติ ที่ไม่มีสติ ไม่รู้จักตัวเอง ท่านเปรียบเหมือนศพเดินได้เลย นี่คำว่าปลาตายไง ถ้าว่าศพเดินได้คือว่าไม่มีสติ ไม่รู้จักตัวเองเลย แต่ถ้าเราจะฝึกฝนของเรา เราจะต้องมีสติของเราขึ้นมา การเหยียดการคู้จะมีสติตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเรื่องหน้าที่การงานเหนื่อยยาก ทุกข์ยาก เข็ญใจ เรื่องหน้าที่การงานทุกข์ยาก เหนื่อยยากทั้งนั้นแหละทุกคน คำว่างานไง งานจะให้สะดวกสบายอย่างความคิดมันไม่มีหรอก แต่งานอย่างนั้นมันเป็นงานหน้าที่ งานที่เราเกิดมาต้องมีชีวิต ชีวิตนี้ต้องมีอาหาร ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย หน้าที่ก็คือหน้าที่ แต่ความสุขของใจล่ะ? นี่มันทวนน้ำขึ้นมา ทวนกระแส เราจะทวนกระแส เราจะไม่ปล่อยชีวิตเราให้ไปตามความพอใจของเราหรอก

เวลาในมรรค เห็นไหม ความเพียรชอบ ต้องมีความเพียรชอบนะ แล้วความเพียร อุตสาหะมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ความเพียรอุตสาหะนะ ความเพียรอุตสาหะของโลกเขา ทำหน้าที่การงานนี่ก็ความเพียรความอุตสาหะแล้วนะ แล้วก็ทำคุณงามความดีขนาดนี้แล้วทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จ มันประสบความสำเร็จนะ ประสบความสำเร็จตามอำนาจวาสนา ตามกรรมที่เรากระทำมา แต่ใจของเรามันต้องการมากกว่านั้น ความต้องการมากกว่านั้นที่ไม่สมตามความเป็นจริงนั่นคือกิเลส

แต่หน้าที่การงานของเราเป็นมรรค คือหน้าที่การงานเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบเป็นมรรคนะ แต่ความเพียรที่มันไม่ชอบ ความเพียรที่มันทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อันนั้นแหละเป็นกิเลส แล้วพอเป็นกิเลสแล้วมันก็ทำให้เราน้อยอกน้อยใจ นี่เราก็ทำมาแล้ว เราก็มีความอุตสาหะแล้ว มีความอุตสาหะแบบกิเลสไง ถ้ามีความอุตสาหะแบบธรรมนะ หน้าที่การงานเราทำแล้วมันเป็นคุณงามความดีของเรา ความดี ทำดีเพื่อดี

ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ของเรานั่งตลอดรุ่ง นั่งในกุฏิ นั่งอยู่โคนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเราเลย ทำไมเทวดาเขาชื่นชมล่ะ? ทำไมเทวดาเขาชื่นชม ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นล่ะ? นี่ความดี เทวดา อินทร์ พรหมเห็นนะ สิ่งที่เป็นความดีเขาเห็น ดูสิเราใช้ชีวิตปกติในบ้านเรา เราเป็นคนดี เราอยู่ในกรอบ ในศีลในธรรม นี่ใครผ่านมาเขาเห็นทั้งนั้นแหละ เขาจะพูดหรือไม่พูดต่างหากนะ นี่ความดีคือความดีไง

แต่เราบอกว่าทำความดีแล้วไม่เห็นความดีเลย ไม่มีใครหรอกจะชื่นชมเราโดยที่ว่าให้เราเกินหน้าเกินตา แต่ความดีมันก็คือความดีไง ความจริงก็คือความจริงไง บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป สิ่งที่เป็นบาปก็คือบาป นั่นมันเป็นเรื่องของโลกๆ นะ แต่ถ้าเราจะเอาคุณธรรมของเรา เราต้องมีจุดยืนของเรา ถ้าจุดยืนของเรา เรามาวัดมาวากันนี่ทวนกระแส ต้องทุกข์ต้องยากนะ

เขาว่ากันนะ เขาอยู่บ้าน เขานอนอยู่บ้าน เขาสบายใจ เขาทำความดีแล้วทำไมเขาต้องมาเดือดร้อนอย่างพวกเราด้วยล่ะ? ก็พวกเราต้องการนี่ไง ต้องการตอกย้ำไง

ธรรมะ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ฟัง สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วได้ฟังซ้ำ เห็นไหม มันตอกย้ำๆ ไง ตอกย้ำให้เรามั่นคง ถ้าเรามั่นคงในศาสนานะ ดูสิความรู้สึกของเรา เวลามันดีขึ้นมามันดีชั่วคราว มันเป็นอนิจจัง ความรู้สึกนี่เป็นอนิจจัง มันสับปลับตลอดเวลา โดยธรรมชาติของจิต โดยธรรมชาติของความคิดมันเหมือนช้างสารที่ตกมัน ไม่มีใครเอามันไว้ในอำนาจของมันได้ ถ้าไม่เอามันไว้ในอำนาจของมันได้ มีธรรมะเท่านั้นที่เอาไว้ในอำนาจของมันได้

นี่เตือนใจไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราเทศน์ออกมาจากใจ มันออกมาจากใจ นี่แทงหัวใจเรานะ มันจะแทงเข้าไปในหัวใจเราเลย เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่แทงเข้าไปในหัวใจ นี่กิเลสมันอยู่ที่นั่น เราจะมาโอ้โลมปฏิโลมกันอยู่ มันได้แต่เรื่องโลกๆ ไง แต่ถ้าเรื่องของธรรมะมันต้องแทงเข้าไปที่หัวใจเลย ให้มันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจคือมันสะเทือนกิเลส ถ้าสะเทือนกิเลสนั่นคือสะเทือนรวงรังของมัน รวงรังของมันที่มันมีอำนาจเหนือเรา มันเอาเราไว้ในอำนาจของมัน เราต้องทุกข์ต้องยาก ต้องเกิดต้องตาย

การเกิดการตายมันเป็นความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากอย่างไร? ชาติปิ ทุกขา ชราปิ ทุกขา เป็นอริยสัจนี่ ทุกข์คืออะไร? ทุกข์คือความเกิด ถ้าทุกข์คือความเกิด เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานกันไป สิ่งนี้มันมีจากไหน? มันก็มาจากบุญกุศล บาปอกุศลที่สร้างสมกันมา แล้วสร้างสมกันมา ถ้าเราถึงที่สุดที่เอาบุญอันละเอียด เอาบุญที่มันเหนือกว่านี้ ที่เราต้องการกันอยู่นี่ เห็นไหม บุญที่เราต้องการกันอยู่นี่คือว่าสิ่งที่จะไม่เกิดอีกเลย ถ้าไม่เกิดอีกเลย ไม่เกิด ไม่อยากไปหรอก ไม่เกิดแล้วมันมีอะไร? ยังอยากจะไปเกิด ยังอยากอยู่

นี่คำพูดมันเป็นโวหาร แต่จริงๆ ใครไม่อยากได้ ทุกคนอยากได้ แต่คิดว่ามันสุดเอื้อม มันเป็นไปไม่ได้ไง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่มันถึงว่าไม่ไป จะไม่ไปนิพพาน จะไปนรก สวรรค์ จะไปสิ่งที่มีสังคม นิพพานไม่มีสังคม นิพพานเป็นสิ่งที่จืดสนิท ไม่มีรสมีชาติ แล้วเวลามันทุกข์มาร้องไห้ทำไม? เวลามันเจ็บปวดขึ้นมามันเสียใจทำไม? แต่สิ่งที่มันเป็นทุกข์ขึ้นมา มันเสียดแทงหัวใจ มันเสียดแทงอยู่ทำไม? เสียดแทงเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันเป็นทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป

พอทุกข์ดับไปเราก็มีความสุขหนหนึ่ง เรามีความพอใจหนหนึ่ง เราว่าเป็นความสุขๆ ไง ความทุกข์มันคลายตัวลงเท่านั้นแหละ ความสุขมันมาจากไหน? ความสุขมันเป็นอนิจจังมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร? สิ่งที่มันเคลื่อนไหวอยู่ เงินของเรามันไม่คงที่ เงินของเรามันลดค่าลงทุกวัน เงินของเรา เราจะพอใจกับมันไหม? แต่ถ้าเราไปทำประโยชน์ขึ้นมา เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของที่มันคงที่ขึ้นมา สิ่งนั้นเราพอใจไหม?

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันเปลี่ยนแปลง ความสุขที่มันแปรปรวนอยู่อย่างนี้ กับความสุขที่แท้จริงมันมีอยู่ ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นความสุขที่แท้จริงล่ะ? ถ้าเปลี่ยนมาเป็นความสุขที่แท้จริงจะเปลี่ยนอย่างไร? วิธีการที่จะเปลี่ยน ก็นี่ไง นี่เราเริ่มสร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลเพื่ออะไร? เพื่อปรับพื้นที่ เพื่อให้หัวใจควรแก่การงาน

น้ำเสีย น้ำเสียเขาใช้ทำอุตสาหกรรมไม่ได้นะ เขาใช้น้ำสะอาด ยิ่งอุตสาหกรรม ยิ่งเทคโนโลยียิ่งสูง น้ำสะอาดต้องมีคุณภาพมากขึ้น

ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันสกปรกอยู่ มันมีความคิดของเราแนบไปด้วย กิเลสมันแซงไปตลอด กิเลสมันแทรกไปตลอด แทรกความคิดเรานี่แหละ เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันอยู่กับใจ ความคิดมันเกิดจากใจ พอคิดอะไรขึ้นมา ความดีขนาดไหนความคิดก็แทรกมา จะทำบุญกุศล เอาไว้พรุ่งนี้ เอาไว้มะรืนนี้ เอาไว้เมื่อหน้า เอาไว้ก่อน นี่คิดดีเหมือนกันมันก็แทรกมา ทำอะไรมันก็แทรกมา สิ่งที่มันแทรกมา เราถึงทำความสงบเข้ามาเพื่อปรับปรุงน้ำเสีย สิ่งที่สกปรกนี้ให้มันสะอาดขึ้นมา ถ้าความสกปรกให้สะอาดขึ้นมา น้ำที่สะอาดขึ้นมามันก็ทำประโยชน์ขึ้นมาได้ใช่ไหม?

สิ่งที่เราทำอยู่นี้ก็ทำเพื่ออันนี้ไง ทำเพื่อความสะอาดของใจของเรา สะอาดเฉยๆ สะอาดเป็นแหล่งน้ำเพื่อที่จะทำคุณงามความดี แหล่งน้ำเพื่อทำคุณงามความดี เห็นไหม เราสุขสงบขึ้นมา เราจิตใจสงบขึ้นมามันจะมีความสุขของใจเรา สิ่งที่เป็นหน้าที่การงานของโลกก็ทำของเราไป มันมีอยู่แล้ว สิ่งที่ว่าไม่ใช่ว่าสุขสงบแล้วจะทิ้งทางโลกมา โลกก็คือโลก แล้วเราเกิดมาพระยังต้องบิณฑบาตเลย พระก็ใช้ปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่ใช้แบบจำเป็น ใช้แบบความจำเป็น เห็นไหม

อย่างเราใช้นี่เราห่วงเราหา เราอาทรกับมัน เราห่วงเราหา เราอาทรกับมัน เราสะสม เราไปแบกรับ เราไปแบกหนักไว้ แต่ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัยก็เป็นสภาวะอย่างนี้ อด อดด้วยกัน อิ่ม อิ่มด้วยกัน มันเป็นธรรม ถ้ามีก็มีด้วยกัน จนก็จนด้วยกัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน นี่ดูสังคมสงฆ์สิเสมอภาคกัน เราบวชมาศีล ๒๒๗ เท่ากัน เป็นพระเหมือนกัน พระนี่ถ้ามีคุณธรรม มีหัวใจเป็นธรรมมันเสมอภาค

คำว่า “เสมอภาค” เห็นไหม เสมอภาคด้วยสมมุติ แต่เวลาจริตนิสัย ดูสิคนละเอียดอ่อน นี่ธาตุขันธ์ไม่เหมือนกัน ของอย่างนี้กินเข้าไปแล้ว ฉันเข้าไปแล้วมันแสลงกับตัวเอง นี่มันก็มีข้อปลีกย่อย แต่ความเสมอภาค เสมอภาคกันโดยปากและท้อง มันเสมอภาคด้วยธรรม แต่ความแตกต่าง ความแตกต่างด้วยธาตุด้วยขันธ์ อย่างนี้เราก็จุนเจือกัน เราก็แก้ไขกัน เราก็สับเปลี่ยนกัน ความสับเปลี่ยนกันอย่างนี้มันอยู่ที่บุคคล ไม่ใช่จำเป็นว่าทุกๆ คนต้องเป็นอย่างนั้น แต่มันก็มีของมัน

ดูสิลูกของเราแต่ละคนมันก็มีความเข้มแข็ง มีความอ่อนแอต่างๆ กันไป เราก็รักษา เราก็ดูแลตามแต่อำนาจวาสนาของเขา แล้วเราเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็ต้องดูแลเขา ดูแลเขาเพราะอะไร? เพราะหน้าที่ นี่เขาว่าเป็นพ่อแม่ต้องเลี้ยงตามหน้าที่ ไม่ใช่หรอก มันเป็นสายบุญสายกรรมต่างหากล่ะ อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดมา นี่เกิดมาแล้วเขามีความสุข สุขมากเลย เกิดมาเรามีความสุขอบอุ่นในครอบครัว แล้วเขาจะจุนเจือกันไป เรามีความรัก

บุตรเกิดมาแล้วมีความกระทบกระเทือนในหัวใจก็มี มีทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร? เพราะว่านิ้วเราไม่เท่ากัน วาระของจิตมันต่างๆ กัน เวลาจิตของเรามีความสุข เวลาจิตของเรามีความทุกข์ นี่มันบาลานซ์กัน ถ้าจิตมันจะมาเกิดด้วยมันบาลานซ์กันขณะที่ เห็นไหม ทางวิทยาศาสตร์เขาคิดได้ เวลาเราตั้งครรภ์ต้องทำจิตให้สงบ มันเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์นู่น มันเริ่มตั้งแต่จิตปฏิสนธินั่น จิตขณะปฏิสนธิที่ไข่ของมารดา จิตมันปฏิสนธิตรงนั้นแล้ว นี่จิตดวงนั้นปฏิสนธิแล้ว

ขณะที่จิตปฏิสนธิสำคัญมากเลย เห็นไหม ปฏิสนธิวิญญาณ กับวิญญาณในอายตนะ วิญญาณในการรับรู้ วิญญาณในรูป รส กลิ่น เสียง นี่วิญญาณจากภายนอก วิญญาณจากภายใน จิตมันละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไป ศึกษาเข้าไปเห็นหมดนะ นี่เวลาพูดขึ้นมาพูดให้เห็นความมหัศจรรย์ของจิตไง แล้วที่มันทวนกระแส ก็ทวนกระแสเข้าไปหาความรู้สึกอันนี้ ถ้ามันทวนกระแสเข้าไปหาความรู้สึกอันนี้นะ

นี่ชีวิต ดูสิดูครูบาอาจารย์ของเราสิ อยู่ในป่าเป็นวัตร หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าเป็นวัตร ถ้าพูดถึงทางโลกเป็นความทุกข์นะ นี่เขาอยู่สุขสบายกัน เขาอยู่ตึก ๕ ชั้น ๑๐ ชั้นกัน เขาสุขสบายใจมาก นี่จะไปอยู่โคนไม้ อะไรก็ไม่มีเลยมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน เราบิณฑบาตเป็นวัตรมันเป็นความสุขตรงไหนล่ะ? มันเป็นอริยประเพณีนะ ประเพณีของพระอริยเจ้านะ การดำรงชีวิต ชีวิตนี้มันได้มาอย่างไร? ชีวิตนี้มันต้องดำเนินต่อไป

เวลาโยมทำงานกันว่าทุกข์ๆ เห็นไหม เวลาพระดำรงชีวิตสิ ดำรงชีวิตต้องแสวงหา เวลาธุดงค์ไป เช้าออกไป ถ้าไม่มีใครเขาใส่บาตรเลย เพราะผิดเวลาเขา นี่ได้บาตรเปล่ากลับมาก็กินลม กินลมก็กินธรรมไง กินธรรมเพราะอะไร? เพราะวาสนาเรามีแค่นี้ไง มันมีความสุข มันพอใจ มันไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใดๆ เลย มันไม่ตื่นเต้นไปกับโลกนะ มันมีจุดยืนของใจ ถ้าใจมีจุดยืนของมัน นี่มันไม่หวั่นไหวไง สิ่งที่ไม่หวั่นไหวแล้วมันมีความสุขไหมล่ะ? มันมีความสุขสิ เพราะมันไม่เป็นภาระรุงรังไง

นี่ถ้าเราเป็นคนที่อ่อนแอ เวลาธุดงค์ไปก็ต้องมีรถอาหารไปรออยู่ข้างหน้า ต้องมีครัวไปดักอยู่เลย ทุกอย่างธุดงค์เป็นพิธีกัน อย่างนั้นมันไม่เป็นความจริงหรอก แต่ถ้าเราธุดงค์ไป เราธุดงควัตร ธุดงค์เข้าไปในป่าในเขาเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อไปค้นหาตัวเอง ตัวเองนี่อยู่ในหมู่คณะ อยู่ในนี้มันอบอุ่นไปหมดแหละ ลองอยู่คนเดียวสิ นี่ยิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งในที่วิเวก ยิ่งในที่มีสัตว์ร้าย ยิ่งที่เจ้าที่เจ้าทางรุนแรง นี่เขาจะคอยเตือน

มีนะ มี ทุกคนเคยประสบมา ถ้าได้ธุดงค์มาเคยเจอสภาวะแบบนี้ นี่แล้วยังเข้าไปในที่ลึกลับต่างๆ มันเป็นไปได้หมดแหละ เวลามันเป็นไปได้ นี่ร่างกายหยาบๆ อย่างนี้ หัวใจที่อยู่ในร่างกายหยาบๆ นี้ทำไมมันลึกลับ มันจะเปลี่ยนแปลงมิติของมันได้ล่ะ? เพราะอะไร? เพราะใจที่มันสะอาด ใจที่มันมีคุณธรรม มันเป็นไปได้ แล้วมันเป็น ก็วัฏฏะไง วัฏฏะ เห็นไหม ดูสิกามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วสิ่งที่มันเกิดมันตายอยู่ในโลกนี้มันพ้นจากสามภพนี้ไปไหม? ถ้ามันไม่พ้นจากนี้ไป แล้วจิตที่มันเข้าใจในสามภพนี้มันจะเข้าใจหมด มันจะรู้ไปหมด ถ้าไม่รู้หมด จะพ้นจากกิเลสได้อย่างไร? ถ้าไม่รู้หมดจะมีความลังเลสงสัยได้อย่างไร?

นี่วัฏฏะมันเกิดจากมิติ มิติระหว่างภพแต่ละชาติๆ เป็นอย่างไร? แล้วจิตที่มันเกิดมันตายแต่ละภพแต่ละชาติใครเป็นคนไปเกิด? จิตนี้มันไปเกิด เกิดในสถานะต่างๆ มันก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ แล้วมันพ้นจากวัฏฏะมาทำไมมันไม่เข้าใจเรื่องวัฏฏะ? ทำไมมันมองไม่เห็นวัฏฏะ? ถ้ามองเห็นวัฏฏะมันถึงเห็นสภาวะแบบนี้ มันถึงเข้าใจ มันถึงรู้หมด ไม่มีความลังเลสงสัยในหัวใจดวงนี้ นี่พ้นจากวัฏฏะ เราเกิดในวัฏฏะ เราหมุนในวัฏฏะ ถ้าเราศึกษา เราทวนกระแสเข้าไป มหัศจรรย์มาก

ทรัพย์สมบัติจากภายนอกนะ มีคุณค่า มีคุณค่าสำหรับคนที่เป็นคนดี คนดีนะเจือจานกัน สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่คนที่เขาเอารัดเอาเปรียบกัน ทรัพย์สมบัตินี่เขาไปทำร้ายกันก็มี เห็นไหม นี้ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายในล่ะ? ทรัพย์จากกิเลส ทรัพย์จากกิเลสคือกิเลสที่มันเป็นทรัพย์ๆ มันพยายามจะเอามาประดับหัวใจ มันไม่เป็นไปหรอก แต่ถ้าเป็นทรัพย์ อริยทรัพย์จากความเป็นจริง ทรัพย์อย่างนี้มันเป็นทรัพย์จากภายใน

ทรัพย์จากภายในมันมีคุณค่ามาก คุณค่าเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอฐานะ มันไม่มีการเสื่อมสภาพ แก้ว แหวน เงิน ทองเราต้องใช้สอย มันเสื่อมค่า มันเพิ่มค่าของมันแล้วแต่สังคมเขาตื่นเต้นกัน แต่อริยทรัพย์มันคงที่ คงที่ตลอดไปนะ คงที่ตลอดไปในหัวใจ หัวใจที่มันเวียนตายเวียนเกิด หัวใจที่มันโลเลอยู่นี่ทวนกระแสเข้าไป มันคงที่ได้อย่างไร? มันคงที่ได้อย่างไร?

ธรรมะมันเป็นอย่างนั้นได้ เราทำของเราได้ เริ่มต้นถ้าใจมันคงที่ ดูสิดูพฤติกรรม ถ้าใจมันคงที่ พฤติกรรมนะจะไม่มีการออกนอกลู่นอกทางเลย แต่ถ้าใจมันไม่คงที่ มันเรรวนจากภายใน ข้างนอกมันก็เรรวน มันจะเรรวนไปตามความรู้สึกอันนั้น แต่ข้างในมันคงที่นะ มันจะเรรวนได้อย่างไร? เพราะสิ่งนี้มันรู้อยู่ มันเป็นของแสลง มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นการกระทำเลย จิตมันพร้อมมาตลอดเวลาอย่างนี้ มันจะทำไปได้อย่างไร?

นี่สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่ว่ามหัศจรรย์ๆ ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ มันคายพิษออกมานี่ทุกข์ตลอดเวลานะ มันคายพิษ กิเลสมันคายพิษ เวลาเป็นธรรมขึ้นมามันจะคายพิษได้ไหมล่ะ? มันเป็นธรรมในหัวใจเรา แล้วมันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ที่ไหน? แล้วแสวงหากัน นี่หัวใจเราทั้งนั้น ที่เราทำบุญกุศลอยู่นี่ ที่เรารักษากันอยู่นี่ เรามีอยู่ตรงนี้ เราถึงต้องพยายามค้นคว้าของเรา แล้วย้อนกลับมาที่เรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา ของอยู่กับเรา แต่คุณธรรมอันนี้สร้างประโยชน์มาให้เป็นของเรา แล้วจะเป็นสมบัติของเรา

ของของเราแท้ๆ เลย แล้วเรารักษามันไม่ได้ ปล่อยให้มันไปตามอำนาจวาสนาไป ปล่อยให้มันเป็นไป ความเป็นไปถ้าเราคุมมันได้ เรารักษามันได้เป็นของเรา ใจของเรา ทำไมมันไม่เป็นของเรา? สมาธิทำไมมันไม่เป็นของเรา ทำไมเรารักษาของเราไม่ได้ มันอยู่กับเรา นี่ธรรมะสอนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา แล้วให้สาวก สาวกะ สืบต่อกันมา

เราสร้างบุญกุศลมาก็เพื่อตรงนี้ เพื่อไม่ให้มันคายพิษมาในหัวใจของเรา เหมือนกลอยเลย ถ้ามันไม่มาแช่น้ำก่อน มันจะมีพิษมีสงของมัน แต่ถ้ามาแช่น้ำ มาทำให้สารพิษหมด กลอยนี้จะปรุงอาหารอะไรก็ยอดเยี่ยมนะ ทำอะไรก็ได้นะ ใจเราก็เหมือนกัน ถ้ามันคลายพิษอยู่อย่างนี้ ถ้ามันดีขึ้นมานี่เป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นเลย ใจของเราเป็นประโยชน์กับเราเอง เอวัง